วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิธีทำน้ำปลา

การทำน้ำปลาพื้นเมือง
น้ำปลาเป็นเครื่องปรุงรสอาหารอย่างหนึ่งของคนไทยซึ่งจะขาด เสียไม่ได้ ปัจจุบันน้ำปลาที่ขายในท้องตลาดมีหลายตราหลายเครื่องหมาย จึงเกิดความสับสนแก่ผู้ซื้อไปบริโภคว่าน้ำปลาตราใดหรือชื่อใดเป็นน้ำปลา แท้ ตราใดเป็นน้ำปลาปลอมและควรเลือกซื้อชนิดใดไว้บริโภค ดังนั้น ก่อนที่ จะทราบวิธีทำน้ำปลาบริโภคเอง จึงขอนำสิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับน้ำปลามา กล่าวไว้ ซึ่งอาจจะเกิดประโยชน์สำหรับผู้บริโภคอยู่บ้าง
ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 47 (พ.ศ.2523) เรื่องน้ำปลา ได้แบ่งน้ำปลาออกเป็น 3 ประเภทคือ
1. น้ำปลาแท้ หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเหลวที่ได้จากการหมัก ปลา หรือส่วนของปลากับเกลือ หรือกากปลาที่เหลือจากการหมักกับน้ำเกลือ ตามกรรมวิธีการทำน้ำปลา
2. น้ำปลาวิทยาศาสตร์ หมายความถึงผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเหลวที่ ได้จากการย่อยปลาหรือส่วนของปลาด้วยกรดหรือน้ำย่อย
3. น้ำปลาผสม หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำน้ำปลาแท้หรือ น้ำปลาวิทยาศาสตร์มาเจือปนหรือเจือจางด้วยสิ่งอื่นที่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ บริโภค
นอกจากน้ำปลาทั้ง 3 ประเภทแล้ว ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่จำหน่าย ในลักษณะของน้ำปลาอีกหลายชนิดที่ไม่ได้มาตรฐานของน้ำปลาแท้หรือ น้ำปลาผสม โดยมีคุณภาพต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เช่น บางชนิดก็ผลิตขึ้น โดยใช้น้ำปลาแท้ผสมกับน้ำที่เหลือจากการผลิตผงชูรส ที่เรียกว่าน้ำบีเอ็กซ์ (คำว่าบีเอ็กซ์นี้เป็นภาษาจีน แปลว่าข้น ๆ หรือน้ำเชื้อที่มีกลิ่นรส) และผสม กับน้ำเกลือแล้วเจือสีและแต่งกลิ่นรสด้วยซัคคารีน บางครั้งก็ผลิตขึ้นจาก น้ำเกลือ น้ำบีเอ็กซ์ผสมสี แล้วแต่งกลิ่นรส ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ บางชนิดก็คงใช้ ชื่อว่า น้ำปลา ซึ่งนับว่าเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค บางชนิดก็เลี่ยงไปเรียก เป็นชื่ออื่น เช่นเรียกว่า น้ำเกลือปรุงรส เป็นต้น แต่ก็มีเจตนาเดียวกันคือ ต้องการขายเป็นน้ำปลา
วิธีทำน้ำปลาพื้นเมือง
ในการทำน้ำปลาแท้เพื่อให้ได้หัวน้ำปลาออกมานั้น ต้องใช้เวลาหมัก นานประมาณ 9 เดือนขึ้นไป แต่หลังจากได้หัวน้ำปลาแล้ว จะดัดแปลงเป็น น้ำปลาชั้นรองลงมาหรือน้ำปลาผสมใช้เวลาไม่นานก็นำไปบริโภคหรือ จำหน่ายได้
ปลาที่ใช้
ในการทำน้ำปลา ถ้าใช้ปลาที่มีลักษณะสดจะได้น้ำปลาที่มีคุณภาพ ดี กลิ่นหอม ปลาที่ใช้อาจจะใช้ปลาน้ำเค็มหรือปลาน้ำจืดก็ได้ ปลาทะเลที่ใช้ มากได้แก่ ปลาไส้ตัน ปลากะตัก ปลาทู และปลาซาร์ดีน เป็นต้น ส่วนปลา น้ำจืดก็ใช้ได้แทบทุกชนิด แต่นิยมใช้มากที่สุดคือปลาสร้อย
วิธีการทำ
ปลาดังกล่าวเมื่อจับมาแล้ว ผู้ผลิตจะนำมากองไว้บนลานซีเมนต์หรือลานไม้ เพื่อให้น้ำคาวปลา เลือดและโคลนตมที่อาจติดมา ไหลหลุดออก ไปเสียก่อน
นำมาคลุกเคล้ากับเกลือ โดยใช้เกลือในอัตรา 1 ส่วนต่อปลา 2 ส่วน เมื่อคลุกเคล้ากันดีแล้ว จึงนำไปบรรจุในภาชนะซึ่งอาจเป็น ไห โอ่ง หรือ บ่อซีเมนต์ ภาชนะที่ใช้บรรจุปลาจะมีเกลือจำนวนหนึ่งรองอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อบรรจุปลาผสมเกลือแล้ว ต้องโรยเกลือทับชั้นบน แล้วคลุมด้วย เสื่อลำแพน และขัดด้วยไม้ไผ่ แล้วจึงทับด้วยหินก้อนโต ๆ เพื่อกันปลาลอย ขึ้นมาเวลาเกิดน้ำปลา
จากนั้นจึงหมักทิ้งไว้ประมาณ 1 ปี ก็จะได้น้ำปลา น้ำปลาที่ได้จะมี คุณภาพดีหรือเลวอยู่ที่วิธีการหมักด้วย คือถังหมักต้องสะอาด มีฝาปิด ระหว่างหมักควรเปิดฝาให้ถูกแดดบ้าง เพราะความร้อนจากแสงแดดจะช่วย ย่อยปลาให้น้ำปลาที่ได้มีคุณภาพดี กลิ่นหอมขึ้น และมีสีแดงใส ซึ่งต้องสูบ หรือไขออกมาเป็นหัวน้ำปลา หรือน้ำปลาชั้นหนึ่ง ซึ่งอาจยังคงมีกลิ่นคาวจัด ต้องนำไปตากแดดไว้ต่อไปประมาณ 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน ก็จะได้น้ำปลา แท้มีคุณภาพดี สีน้ำตาลแดงใส มีกลิ่นรสหอมหวานชวนรับประทาน ซึ่งจะ บรรจุลงขวดหรือไหเพื่อจำหน่ายต่อไป
น้ำปลาแท้ชั้นหนึ่งนี้ ผู้ผลิตบางรายจะไม่ขายแต่จะเก็บไว้ใช้สำหรับ ผสมน้ำปลาชั้นสอง เพื่อขายเป็นน้ำปลาดีต่อไป กากปลาที่เหลือจากการทำ น้ำปลาชั้นที่ 1 แล้ว ยังสามารถนำไปทำน้ำปลาชั้นรอง ๆ ได้อีก โดยนำไป หมักกับน้ำเกลือเข้มข้นอีก 2 หรือ 3 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลา 2-3 เดือน ก็จะได้น้ำปลาชั้นที่ 2-3 และ 4 ซึ่งมีคุณภาพลดหลั่นกันตามลำดับ กากปลา ที่เหลือจากการหมักครั้งสุดท้ายจะถูกนำไปต้มกับน้ำเกลือ แล้วกรอง เป็นน้ำปลาเช่นเดียวกัน น้ำปลาชั้นที่ 3, 4 และน้ำปลาที่ได้จากการต้มกากปลา กับน้ำเกลือนั้น เนื่องจากมีคุณภาพไม่ใคร่ดีจึงมักนำไปปรุงแต่งสี กลิ่น รส ก่อนจึงนำไปจำหน่าย การปรุงแต่งก็ใช้วิธีต่าง ๆ เช่น แต่งสีด้วยสีคาราเมล หรือน้ำตาลเคี่ยวไหม้แต่งรสให้ดีขึ้นด้วยผงชูรส หรือน้ำที่เหลือจากการแยก ผงชูรสที่เรียกว่าบีเอ๊กซ์ เป็นต้น บางครั้งก็ใช้หัวน้ำปลา น้ำปลาที่มีการแต่ง สีกลิ่นรสนี้เรียกว่า น้ำปลาผสม ดังกล่าวมาแล้ว
คุณค่าทางอาหารของน้ำปลา
น้ำปลาแท้หรือน้ำปลาชั้นหนึ่งนั้น มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก คือมี โปรตีนที่มีคุณภาพดีเป็นองค์ประกอบอยู่ถึง 8 ชนิด และยังประกอบด้วย สารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกายอีกอย่างหนึ่งคือ วิตามินบี 12 ทำให้ร่าง- กายปลอดภัยจากโรคโลหิตจาง มีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยใน การสร้างกระดูก ถ้ารับประทานน้ำปลาแท้โดยใช้ปรุงสารอาหารได้ทุกวัน ก็จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารส่วนหนึ่ง ซึ่งเมื่อรวมกับที่ได้รับจากอาหาร อื่นเพียงเล็กน้อย ก็จะมีปริมาณเพียงพอแก่ความต้องการได้
การเลือกซื้อน้ำปลา
การเลือกซื้อน้ำปลาเพื่อให้ได้น้ำปลาแท้และมีคุณภาพดีนั้น วิธี ง่าย ๆ วิธีหนึ่งที่ทำได้ก็คือเลือกซื้อน้ำปลาที่ได้รับการรับรองคุณภาพจาก สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมติดไว้ที่ ฉลาก ซึ่งปัจจุบันมีจำหน่ายอยู่หลายตราด้วยกัน แต่น้ำปลาเหล่านี้มักจะมี ราคาค่อนข้างสูง อย่างไรก็ดี ขณะนี้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาห- กรรม พิจารณาจัดร่างมาตรฐานน้ำปลาชนิดที่มีคุณภาพรองลงมาเล็กน้อย ขึ้นอีกชนิดหนึ่ง เพื่อให้มีน้ำปลาที่มีคุณภาพดี จำหน่ายในราคาพอสมควร และมีเครื่องหมายแสดงให้ผู้บริโภคทั่วไปได้เลือกซื้อได้ถูกต้อง

วิธีทำน้ำปลาพื้นเมือง

สำหรับวิธีการตรวจสอบง่าย ๆ เพื่อให้ทราบว่าเป็นน้ำปลาแท้ มีข้อ สังเกตที่พอใช้เป็นแนวทางในการเลือกซื้อได้ คือ น้ำปลาแท้จะมีสีน้ำตาลแดง ใส มีกลิ่นของปลา บรรจุในขวดและมีฉลากแจ้งตราและสถานที่ผลิตไว้ชัด- เจนเรียบร้อย มีเลขทะเบียนอาหารของกระทรวงสาธารณสุข และไม่ควรซื้อ น้ำปลาที่มีราคาถูกเกินไป หรือมีสีดำคล้ำ ขุ่นหรือมีตะกอน เพราะมักไม่ใช้ น้ำปลาแท้ และถึงแม้ว่าจะเป็นน้ำปลาแท้ ก็เป็นน้ำปลาเก็บไว้นาน ซึ่งเสื่อม คุณภาพบางประการแล้ว

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กี ต้าร์

ประวัติความเป็นมาของกีตาร์
prehistoric.gif (2568 bytes)         กีตาร์ถือเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของมนุษย์เพียงแต่ชื่อเรียกและรูปร่างย่อมแตกต่างกันไปตามแต่ละยุคสมัย ซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมในแถบเปอร์เซียและตะวันออกกลางหลายประเทศต่อมาได้เผยแพร่ไปยังกรุงโรมโดยชาวโรมันหรือชาวมัวร์ จากนั้นก็เริ่มได้รับความนิยมในสเปน ในยุโรปกีตาร์มักเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง และมีเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ที่ให้ความสนใจและศึกษาอย่างเช่น Queen Elizabeth I ซึ่งโปรดกับ Lute lซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของกีตาร์ก็ว่าได้ แต่การพัฒนาที่แท้จริงนั้นได้เกิดจากการที่นักดนตรีได้นำมันไปแสดงหรือเล่นร่วมกับวงดนตรีของประชาชนทั่ว ๆ ไปทำให้มีการเผยแพร่ไปยังระดับประชาชนจนได้มีการนำไปผสมผสานเข้ากับเพลงพื้นบ้านทั่ว ๆ ไปและเกิดแนวดนตรีในแบบต่าง ๆ มากขึ้น
     ผู้หนึ่งที่สมควรจะกล่าวถึงเมื่อพูดถึงประวัติของกีตาร์ก็คือ Fernando Sor ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญและมีอิทธิพลต่อวงการกีตาร์เป็นอันมากเนื่องจาการอุทิศตนให้กับการพัฒนารูปแบบการเล่นกีตาร์เทคนิคต่าง ๆ และได้แต่งตำราไว้มากมาย ในปี 1813 เขาเดินทางไปยังปารีตซึ่งเขาได้รับความสำเร็จและความนิยมอย่างมาก จากนั้นก็ได้เดินทางไปยังลอนดอนโดยพระราชูปถัมป์ของ Duke of Sussex และที่นั่นการแสดงของเขาทำให้กีตาร์เริ่มได้รับความนิยม จากอังกฤษเขาได้เดินทางไปยังปรัสเซีย รัสเซียและได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวเมืองเซนต์ ปีเตอร์เบิร์ก ซึ่งที่นั่นเขาได้แต่งเพลงที่มีความสำคัญอย่างมากเพลงหนึ่งถวายแก่พระเจ้า Nicolus I จากนั้นเขาก็ได้กลับมายังปารีตจนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อปี 1839 หลังจากนั้นได้มีการเรียนีการสอนทฤษฎีกีตาร์ที่เด่นชัดและสมบูรณ์มากขึ้น ทำให้กีตาร์ได้รับการพัฒนาอย่างมาก     หลังจากนั้นมีอีกผู้หนึ่งที่มีความสำคัญต่อกีตาร์เช่นกันคือ Francisco Tarrega (1854-1909) ซึ่งเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนแต่ด้วยความสามารถด้านดนตรีของเขาก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จจนได้จากการแสดง ณ Alhambra Theater จากนั้นเขาได้เดินทางไปยัง Valencia, Lyons และ Paris เขาได้รับการยกย่องว่าได้รวมเอาคุณสมบัติของเครื่องดนตรี 3 ชนิดมารวมกันคือ ไวโอลิน, เปียโน และ รวมเข้ากับเสียงของกีตาร์ได้อย่างไพเราะกลมกลืน ทุกคนที่ได้ฟังเขาเล่นต่างบอกว่าเขาเล่นได้อย่างมีเอกลักษณ์และสำเนียงที่มีความไพเราะน่าทึ่ง หลังจากเขาประสบความสำเร็จใน London, Brussels, Berne และ Rome เขาก็ได้เดินทางกลับบ้านและได้เริ่มอุทิศตนให้กับการแต่งเพลงและสอนกีตาร์อย่างจริงจัง ซึ่งนักกีตาร์ในรุ่นหลัง ๆ ได้ยกย่องว่าเขาเป็นผู้ริเริ่มการสอนกีตาร์ยุคใหม่
     อีกคนหนึ่งที่จะขาดไม่ได้คือ Andres Sergovia ผู้ซึ่งเดินทางแสดงและเผยแพร่กีตาร์มาแล้วเกือบทั่วโลกเพื่อให้คนได้รู้จักกีตาร์มากขึ้น (แต่คงไม่ได้มาเมืองไทยน่ะครับ) ทั้งการแสดงเดี่ยวหรือเล่นกับวงออเคสตร้า จนเป็นแรงบันดาลใจให้มีการแต่งตำราและบทเพลงของกีตาร์ขึ้นมาอีกมากมาย อันเนื่องมาจากการเผยแพร่ความรู้ในเรื่องกีตาร์อย่างเปิดเผยและจริงจังของเขาผู้นี้ นอกจากนี้ผลงานต่าง ๆ ของเขาได้ทำให้ประวัติศาสตร์กีตาร์เปลี่ยนหน้าใหม่เพราะทำให้นักีตาร์ได้มีโอกาสแสดงใน concert hall มากขึ้น และทำให้เกิดครูและหลักสูตรกีตาร์ขึ้นในโรงเรียนดนตรีอีกด้วย
  สำหรับการร้องไปพร้อมกับกีตาร์ได้เริ่มมีขึ้นเมื่อสามารถปรับให้ระดับเสียงของกีตาร์นั้นเข้ากับเสียงร้องได้ ซึ่งผมเข้าใจว่าในอดีตกีตาร์มีไว้บรรเลงมากกว่าแต่เมื่อสามารถผสมผสานเสียงของกีตาร์กับเสียงร้องได้การร้องคลอไปกับกีตาร์จึงเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น นักร้องนักกีตาร์(คือทั้งเล่นทั้งร้อง) น่าจะมาจากนักร้องในยุคกลางซึ่งเป็นชนชั้นสูงได้ปลีกตัวไปทำงานในแบบที่เป็นอิสระและอยากจะทำจึงมีการผสมกันกับรูปแบบของดนตรีพื้นบ้านมากขึ้น ซึ่งงานดนตรีจึงแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
        1. เป็นงานประพันธ์เพื่อจรรโลกโลกหรือมีความจริงจังในทางดนตรีเพื่อการแสดงเป็นส่วนใหญ่ ก็คือเพลงคลาสสิกนั่นเอง
        2. งานที่สร้างจากคนพื้นบ้านจากการถ่ายทอดจากพ่อสู่ลูกลูกสู่หลาน เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสภาพความเป็นอยู่ แสดงถึงวิถีการดำเนินชีวิต ใช้ในการผ่อนคลายจากการงานความทุกข์ความยากจน เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ อันได้มาจากประสบการณ์หรือสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวขณะนั้นจึงมีความเป็นธรรมชาติอยู่มาก
    และโดยที่ทั้ง 2 ส่วนดังกล่าวได้มีการแลกเปลี่ยนถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลาจากอดีตถึงปัจจุบันจนมีการซึมซับเข้าไปยังเนื้อเพลงและทำนองเพลงทำให้เกิดรูปแบบของดนตรีในแบบใหม่ ๆมากขึ้นเรื่อย ๆ
   ในอเมริกา ผู้ที่เข้าไปอาศัยได้นำเอาดนตรีและการเต้นรำของพวกเขาเข้ามาด้วยเช่นพวกทหาร นักสำรวจ พวกเคาบอยหรือคนงานเหมืองทำให้มีการผสมผสานกันในรูปแบบของดนตรีและที่สำคัญที่สุดคือพวก อเมริกัน นิโกร ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในฐานะทาสซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดเพลงบลูส์นั่นเองซึ่งส่วนใหญ่แสดงถึงความยากลำบาก ความยากจนถ่ายทอดมาในบทเพลงสไตล์ของพวกเขาเพื่อได้ผ่อนคลายจากความเหนื่อยยากและเล่นง่าย ๆ ด้วยกีตาร์กับเม้าท์ออร์แกนเป็นต้น ซึ่งเพลงบลูส์นั่นเองที่เป็นพื้นฐานของดนตรีอีกหลาย ๆ ประเภทไม่ว่าจะเป็นเพลงร็อคหรือแจ๊สในปัจจุบัน จนเดี๋ยวนี้กีตาร์มีความสำคัญกับดนตรีแทบทุกชนิด
   แม้ว่ากีตาร์จะถูกสร้างมาหลายรูปแบบแต่แบบที่ถือว่าดีที่สุดคงเป็นแบบ สแปนนิช 6 สาย ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาที่ดีอย่างมากทั้งด้านการประดิษฐ์และด้านเทคนิค ซึ่งสามารถใช้เล่นในงานแสดงคอนเสิร์ท(หมายถึงดนตรีคลาสสิก) หรือเล่นเพลงทั่ว ๆ ไปทำให้รูปทรงกีตาร์แบบนี้เป็นที่นิยมจนปัจจุบัน เริ่มจากในศตวรรษที่ 18 ได้มีการเปลี่ยนจากสายที่เป็นสายคู่มาเป็นสายเดี่ยวและเปลี่ยนจาก 5 สายเป็น 6 สาย ช่างทำกีตาร์ในยุคศตวรรษที่ 19 ได้ขยายขนาดของ body เพิ่มส่วนโค้งของสะโพกลดส่วนผิวหน้าที่นูนออกมา และเปลี่ยนแปลงโครงยึดภายใน ลูกบิดไม้แบบเก่าถูกเปลี่ยนเป็นแบบใหม่ ในยุคเดียวกันนี้ Fernando Sor ซึ่งได้กล่าวมาในข้างต้นแล้วเป็นผูที่พัฒนาและทำให้เครื่องดนตรีนี้เป็นที่ยอมรับและใช้ในการแสดงได้จนกระทั่งมาถึงยุคของ Andres Segovia ได้คิดดัดแปลงให้สามารถใช้กับไฟฟ้าได้ ซึ่งเป็นความพัฒนาอีกระดับของเพลงป๊อปในอเมริกาในช่วง 1930 กีตาร์ไฟฟ้าต้นแบบช่วงนั้นเป็นแบบทรงตันและหลักการนำเสียงจากกีตาร์ไปผสมกับกระแสไฟฟ้าแล้วขยายเสียงออกมานั้นทำให้นักดนตรีและนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันซึ่งชื่อเขาพวกเรารู้จักกันดีในนามของโมเดลหนึ่งของกิ๊บสันนั่นก็คือ Les Paul ได้พัฒนาจากต้นแบบดังกล่าว มาเป็นแบบ solid body กีตาร์ หรือกีตาร์ไฟฟ้าที่เราเห็นในปัจจุบันนั่นแหละครับซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญมากของดนตรียุคนั้นและทำให้กีตาร์เป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงปี 1940
    หลังจากนั้นในต้นปี 1940 นักประดิษฐ์ชาวแคลิฟอเนียอีกคนซึ่งเราก็รู้จักชื่อเขาในนามของยี่ห้อกีตาร์ที่สุดยอดอีกยี่ห้อหนึ่งนั่นก็คือ Leo Fender เขาได้ประดิษฐ์กีตาร์และเครื่องขยายเสียงในร้านซ่อมวิทยุของเขา เขาได้สร้างเครื่องขยายเสียงแต่ขณะนั้นไม่มีปุ่มคอนโทรลต่าง ๆ เช่นปัจจุบัน และใช้กับกีตาร์ของเขาซึ่งมีปุ่มควบคุมเสียงดังเบาและทุ้มแหลมซึ่งเป็นต้นแบบกีตาร์ไฟฟ้ายุคใหม่ เขาไม่ได้หยุดแค่นั้นด้วยเทคโนโลยีขณะนั้นเขารู้ว่าเขาน่าจะดัดแปลงกีตาร์โปร่งให้สามารถใช้กับเครื่องขยายเสียงได้และความพยายามเขาก็สำเร็จจนได้ในปี 1948 และได้กีตาร์ที่ชื่อว่า Telecaster ซึ่งชื่อเดิมที่เขาใช้เรียกคือ Broadcaster แต่คำว่า tele เป็นที่ติดปากกันมากกว่าและถือว่าเป็นกีตาร์ไฟฟ้าทรงตันในรูปทรงสแปนนิสรุ่นแรกที่ซื้อขายกันในเชิงพานิชย์และได้รับความนิยมอย่างมากจนกระทั่งปัจจุบัน
    ปัจจุบันสำหรับกีตาร์มีพร้อมแล้วทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นรูปร่างรูปทรงประเภทต่าง ๆ ให้เลือกเล่นตามใจชอบ สไตล์เพลงหลากหลายสไตล์ โรงเรียนสอน ตำราต่าง ๆ ให้ศึกษามากมายแต่แนนอนการพัฒนาย่อมไม่มีวันหยุดไม่แน่ในอนาคตคุณอาจเป็นคนหนึ่งที่สร้างอะไรใหม่ ๆ ให้กีตาร์จนโลกต้องบันทึกไว้ก็ได้